UNITED STATES AND AIR SUPERIORITY : CASE STUDY OF FIFTH-GENERATION FIGHTER

Abstract

This independent study is a qualitative research project aimed at analyzing and examining the threat-related factors, including military, technological, and international political dimensions that have influenced the design, development, and procurement processes of fifth-generation fighter aircraft by the United States Air Force. It also examines the role of fifth-generation fighter aircraft within the broader context of military security, positioning them as strategic tools for addressing contemporary threats during the period from 2010 to 2020. The study employs the theoretical frameworks of the Revolution in Military Affairs, Air Superiority, and Threat perception to explain the underlying rationale behind the United States’s development of fifth-generation fighter aircraft, and how these assets have been utilized as part of a strategic response to evolving global threats. Data collection draws from both primary and secondary sources, including official reports, documents published by the U.S. Department of Defense and U.S. Air Force, news articles, and academic literature in both English and Thai. Findings reveal that the United States’s development of fifth-generation fighter aircraft was primarily driven by growing military threats posed by China and Russia. Both of which have significantly enhanced their military technological capabilities. As principal strategic competitors, their advancements prompted the U.S. to reassess its air superiority strategy and accelerate the development of advanced military technologies to avoid technological and strategic disadvantages. This ultimately led to the deployment of ffifth-generation fighter aircraft, which not only serve to counter state-based threats but also act as strategic instruments reinforcing the United States’s role as a global military power amid a dynamic security environment from 2010 to 2020. This research provides a foundational resource for scholars and analysts interested in further exploring this subject. Future studies may expand upon this work by incorporating different spatial and temporal scopes or alternative theoretical perspectives to better understand structural changes in the international security system, both in the present and in the future.

การค้นคว้าอิสระฉบับนี้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และศึกษาปัจจัยด้านภัยคุกคาม ทั้งด้านการทหาร เทคโนโลยี รวมถึงการเมืองระหว่างประเทศ ที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการออกแบบพัฒนา และจัดหาอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้าของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และยังศึกษาถึงประเด็นความมั่นคงทางทหารด้านอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้า ในฐานะเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้ตอบสนองต่อภัยคุกคามในยุคปัจจุบันในระหว่างปี ค.ศ. 2010 - 2020 ผ่านการใช้แนวคิดการปฏิวัติในกิจการทหาร (Revolution in Military Affairs) ประกอบกับแนวคิดความเหนือกว่าทางอากาศ (Air Superiority) และแนวคิดภัยคุกคาม เพื่อนำประกอบการอธิบายถึงที่มาอันนำไปสู่การพัฒนาอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้าของกองทัพสหรัฐฯ และนำอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการรรับมือกับภัยคุกคาม โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้มีการรวบรวมเอกสารในรูปแบบปฐมภูมิ และทุติยภูมิ อันได้แก่รายงานการประชุม เอกสารที่เผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เอกสารที่เผยแผร่จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ข่าว และเอกสารวิชาการ ในภาษาต่างประเทศและภาษาไทย

ผลการศึกษาพบว่า การที่สหรัฐฯ ได้พัฒนาอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้านั้น เกิดขึ้นจากภัยคุกคามทางการทหารจากจีน และรัสเซีย ซึ่งต่างมีการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีทางการทหาร สองชาตินี้ได้ถือเป็นคู่แข่งหลักที่สำคัญของสหรัฐ จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องทบทวนยุทธศาสตร์ความเหนือกว่าทางอากาศ และเร่งดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถของตนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียเปรียบในเชิงเทคโนโลยีและเชิงยุทธศาสตร์ ส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องทบทวนยุทธศาสตร์ความเหนือกว่าทางอากาศ และเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีการทหารอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การพัฒนาอากาศยานขับไล่ยุคที่ห้า ซึ่งไม่เพียงตอบสนองต่อภัยคุกคามจากรัฐคู่แข่ง หากแต่ยังเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ในการตอบสนองกับภัยคุกคาม และเสริมสร้างบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจทางทหารท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงตลอดช่วงระยะเวลาปี ค.ศ. 2010–2020 เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเหนือกว่าทางอากาศและการครองอำนาจนำในระบบการเมืองระหว่างประเทศ งานวิจัยชิ้นนี้สามารถทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อยอดในประเด็นข้างต้น ซึ่งอาจขยายขอบเขตการศึกษาในมิติอื่นๆ อาทิขอบเขตด้านพื้นที่ เวลา รวมถึงกรอบแนวคิดอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบความมั่นคงระหว่างประเทศในปัจจุบันและอนาคต