THE EFFECT OF GUIDANCE ACTIVITIES USING GAME-BASED LEARNING TO ENHANCE SELF-DEFENSE AGAINST SEXUAL HARASSMENTIN SCHOOL OF HIGH SCHOOL STUDENTS
Loading...
Date
Authors
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Publisher
Srinakharinwirot University
Abstract
The objectives of this research are as follows: (1) to study self-defense against sexual harassment of high school students; and (2) to compare self-defense against sexual harassment of high school students before and after participating in guidance activities and using game-based learning. The research samples in this research consisted of high school students from Matthayom Watnairong School, in the 2023 academic year, and acquired by Cluster Random Sampling. The research instruments consisted of the following: (1) guidance activities using game-based learning; (2) self-defense against sexual harassment scale. The data were analyzed using descriptive statistics, using mean, standard deviation and inferential statistics to test the hypothesis was a t-test for the dependent samples. The results revealed the following: (1) high school students have a mean overall self-defense against sexual harassment at a moderate level and after using game-based guidance activities, it was found that the means of self-defense against sexual harassment among high school students was higher than before using guidance activities at statistical significance of .01. The mean of self-defense against sexual harassment after using game-based guidance activities was at a high level
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างวิจัยในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ปีการศึกษา 2566 ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบลำดับชั้น (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐาน 2) แบบวัดการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยายโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t-test for dependent samples ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศทั้งในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และภายหลังการใช้กิจกรรมแนะแนว พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศสูงกว่าก่อนการใช้กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศหลังการใช้กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐานอยู่ในระดับสูง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างวิจัยในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ปีการศึกษา 2566 ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบลำดับชั้น (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐาน 2) แบบวัดการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยายโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t-test for dependent samples ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศทั้งในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และภายหลังการใช้กิจกรรมแนะแนว พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศสูงกว่าก่อนการใช้กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยค่าเฉลี่ยการป้องกันตนเองจากการถูกคุกคามทางเพศหลังการใช้กิจกรรมแนะแนวโดยใช้เกมเป็นฐานอยู่ในระดับสูง