SATISFACTION ON SERVICE MARKETING MIX TOWARDS IKEA'S CUSTOMER BRAND LOYALTY IN BANGKOK AND SUBURBANING AREA

Abstract

The aim of this research is to study the satisfaction with the service marketing mix related to IKEA's customer brand loyalty in Bangkok and Suburbaning area. The sample consisted of four hundred consumers aged twenty - one years of age and older, who purchased the IKEA brand goods. The data was analyzed by using a questionnaire as a tool for data collection, including average, percentage and standard deviation. The statistics used in the hypothesis testing included an independent sample t-test, a one-way analysis of variance and the Pearson product-moment correlation coefficient. The results of this research found that: most respondents were female, aged thirty-one to forty, married or living together, postgraduate studies, private company employees and with an average monthly income of 20,001 to 30,000 baht. The hypothesis testing found that consumers of different ages, marital status, and average monthly income had different levels of brand loyalty to IKEA with a statistical significance at a level of 0.05 and 0.01 respectively. The level of satisfaction with the service marketing mix in terms of product, price, place, promotion, people, physical evidence, and process were related to IKEA's customer brand loyalty in Bangkok and Suburbaning area with a statistical significance of 0.01, and in the same direction. The research results can be used as a guideline to improve business strategies to be effective, to create a competitive advantage. And make consumers more satisfied and loyalty to IKEA brand.

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีความสัมพันธ์กับความภักดีต่อตราสินค้าอิเกียของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปที่ใช้หรือเคยใช้สินค้าตราอิเกีย จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ สถิติการวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31- 40 ปี สถานภาพสมรส/อยู่ด้วยกัน การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี อาชีพพนักงานเอกชน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้บริโภคที่มีอายุ สถานภาพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีความภักดีต่อตราสินค้าอิเกียแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 ความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านพนักงาน ด้านกายภาพ และด้านกระบวนการ มีความสัมพันธ์กับความภักดีต่อตราสินค้าอิเกียของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในทิศทางเดียวกัน ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกลยุทธ์ทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจและความจงรักภักดีต่อตราสินค้าอิเกียมากยิ่งขึ้น