A STUDY OF MATHEMATICAL PROBLEM SOLVING ABILITY ON UNKNOWN OF PRIMARY V STUDENTS USING COOPERATIVE LEARNING LT (LEARNING TOGETHER) AND POLYA'S PROBLEM-SOLVING PROCESS

Abstract

This research aimed to study the mathematical problem-solving ability and behavior of Grade 5 students on the topic of unknown through cooperative learning activities using the Learning Together (LT) technique and Polya’s problem-solving process. The sample consisted of 20 Grade 5 students enrolled in the second semester of the 2024 academic year at La-or Utis Demonstration School in Bangkok. The sample was selected through cluster random sampling from three classrooms, each consisting of students with mixed abilities. The research instruments included (1) ten lesson plans that applied the LT technique and Polya’s problem-solving process, each lasting 60 minutes, (2) a mathematical problem-solving ability test on the topic of unknowns, and (3) an observation form for mathematical problem-solving behavior. During the activities, students worked in groups with clearly defined roles: motivator, observer, and recorder. After each session, the teacher praised or rewarded groups that met the criteria and rotated the roles in subsequent sessions until every student had experienced each responsibility. Mathematical problem-solving ability was assessed through classroom activity sheets, test scores, and analysis of students’ written work. The findings indicated that the students who received instruction through the LT technique and Polya’s approach achieved problem-solving scores exceeding the 70 percent benchmark, with more than 60 percent of the students meeting this criterion at the 0.05 level of significance. Additionally, the study of student behavior in the four problem-solving stages, including understanding the problem, planning, carrying out the plan, and reviewing the solution, showed improvement in identifying given data and questions. Although some groups were still confused by certain details, students applied a wider variety of strategies. They were able to select appropriate methods, solve problems according to the situation, and conclude with answers that corresponded to the given questions.

งานวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสามารถและพฤติกรรมในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวไม่ทราบค่า โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) และกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ปี 5 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเกาะกลุ่ม จากทั้งหมด 3 ห้องเรียน ซึ่งแต่ละห้องเรียนมีการจัดนักเรียนแบบคละระดับความสามารถ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) และกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา จำนวน 10 แผน แต่ละแผนใช้เวลา 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 60 นาที (2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวไม่ทราบค่า และ (3) แบบสังเกตพฤติกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวไม่ทราบค่า ในการจัดกิจกรรมให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม โดยมอบหมายบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน ได้แก่ ผู้กระตุ้น ผู้สังเกต และผู้บันทึก เมื่อจบกิจกรรมครูกล่าวคำชมหรือให้รางวัลแก่กลุ่มที่ได้คะแนนตามเกณฑ์ และสลับบทบาทของนักเรียนในครั้งถัด ไปจนนักเรียนทุกคนได้ทำครบทุกหน้าที่ ซึ่งการประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ประเมินจากใบกิจกรรมในห้องเรียน คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดความสามารถทางคณิตศาสตร์ และศึกษาพฤติกรรมในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จากการทำกิจกรรมของนักเรียนและวิเคราะห์ผลจากร่องรอยการเขียนในใบกิจกรรม ผลการวิจัยพบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) และกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวไม่ทราบค่า ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม ซึ่งมากกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ที่ระดับนัยสำคัญ .05 จากการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การทำความเข้าใจปัญหา การวางแผน การดำเนินการ และการสรุปคำตอบ พบว่านักเรียนสามารถระบุสิ่งที่โจทย์กำหนดและสิ่งที่โจทย์ถามได้ดีขึ้น แต่ยังมีบางกลุ่มที่สับสนในรายละเอียดปลีกย่อยบางประการ มีการเลือกใช้กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาที่หลากหลายมากขึ้น นักเรียนสามารถเลือกวิธีการดำเนินการ ในการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสรุปคำตอบที่สอดคล้องกับสิ่งที่โจทย์ถามได้