A DEVELOPMENT OF MATHEMATICAL THINKING TEST FOR MATHAYOMSUKSA 6 STUDENTS IN THE SECONDARY EDUCATION SERVICE AREA OFFICE 2BY APPLYING GENERALIZABILITY THEORY
Loading...
Date
Authors
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Publisher
Srinakharinwirot University
Abstract
The aims of this research study are as follows: (1) to create a Secondary School Mathematical Thinking Assessment Form Six under the authority of the Office of Secondary Education, Area Two; (2) to examine the quality of Mathematical Thinking scale; and (3) to study the generalizability coefficient of measurement results with a different number of raters. The sample consisted of 120 Grade Six students, using multi-stage randomization. The statistics used for data analysis were analysis of difficulty, discrimination, reliability, rater agreement index, and the generalizability coefficient. The results of the research were as follows: (1) the results of creating a mathematical thinking test is that there were six exams, subjective exams for measuring each situation, each consisting of three components: problem-solving, reasoning, and representation; (2) the quality in examination of the mathematical thinking test, the content validity had a IOC value of 0.6-1.00, difficulty values of 0.40-0.76, discrimination of 0.46-0.78, and a reliability of 0.97. The rater agreement index between assessors was between 0.75-0.88. 3. The generalizability Coefficient for by number of raters 1, 2, 3, 4 and 5 Creative Decisions of 0.809,0.895,0.927,0.944 and 0.955 and Absolute Decisions for 0.780,0.877, 0.914, 0.934 and 0.947.
การวิจัยมีความมุ่งหมายเพื่อ 1. สร้างแบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2 2. ตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ และ 3. ศึกษาสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงความน่าเชื่อถือของผลการวัดที่มีจำนวนผู้ตรวจต่างกัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 120 คนโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือวิเคราะห์ค่าความยากง่าย อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่น ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมิน และค่าสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงความน่าเชื่อถือของผลการวัด ผลวิจัยพบว่า 1. แบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีข้อสอบจำนวน 6 ข้อเป็นข้อสอบอัตนัยประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การแก้ปัญหา การให้เหตุผลและการนำเสนอตัวแทนความคิด มีเกณฑ์ให้คะแนนแยกส่วนตามองค์ประกอบ 2. แบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยมีค่า IOC 0.6-1.00 ความยากง่ายมีค่า 0.40-0.76 อำนาจจำแนกมีค่า 0.46-0.78 และความเชื่อมั่นมีค่า 0.97 ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมินมีค่า 0.75 – 0.88 3. ค่าสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงโดยมีผู้ตรวจจำนวน 1,2,3,4 และ 5 คน สำหรับการตัดสินใจเชิงสัมพัทธ์เป็น 0.809,0.895,0.927,0.944 และ 0.955 ตามลำดับ สำหรับการตัดสินใจเชิงสัมบูรณ์0.780,0.877,0.914,0.934 และ 0.947 ตามลำดับ
การวิจัยมีความมุ่งหมายเพื่อ 1. สร้างแบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2 2. ตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ และ 3. ศึกษาสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงความน่าเชื่อถือของผลการวัดที่มีจำนวนผู้ตรวจต่างกัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 120 คนโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือวิเคราะห์ค่าความยากง่าย อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่น ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมิน และค่าสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงความน่าเชื่อถือของผลการวัด ผลวิจัยพบว่า 1. แบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีข้อสอบจำนวน 6 ข้อเป็นข้อสอบอัตนัยประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การแก้ปัญหา การให้เหตุผลและการนำเสนอตัวแทนความคิด มีเกณฑ์ให้คะแนนแยกส่วนตามองค์ประกอบ 2. แบบวัดการคิดเชิงคณิตศาสตร์มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยมีค่า IOC 0.6-1.00 ความยากง่ายมีค่า 0.40-0.76 อำนาจจำแนกมีค่า 0.46-0.78 และความเชื่อมั่นมีค่า 0.97 ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมินมีค่า 0.75 – 0.88 3. ค่าสัมประสิทธิ์การสรุปอ้างอิงโดยมีผู้ตรวจจำนวน 1,2,3,4 และ 5 คน สำหรับการตัดสินใจเชิงสัมพัทธ์เป็น 0.809,0.895,0.927,0.944 และ 0.955 ตามลำดับ สำหรับการตัดสินใจเชิงสัมบูรณ์0.780,0.877,0.914,0.934 และ 0.947 ตามลำดับ