THE DEVELOPMENT OF PHYSICAL EDUCATION AND SPORTS STUDY PROGRAM IN UPPER SECONDARY SCHOOL

Abstract

This mixed-methods research aimed to (1) examine the current conditions and assess the needs of the Physical Education and Sports program at the upper secondary education level, (2) synthesize development guidelines for the program, (3) design and conduct a preliminary quality assessment of the program, and (4) evaluate the feasibility and usefulness of implementing the program. Data were collected from 184 stakeholders, including teachers, students, parents, school administrators, university lecturers, and physical education experts, using semi-structured interviews and evaluations. The study revealed that (1) the current comparable programs lack consistency in elective courses, (2) the synthesized data from Phase 1 provided clear guidelines for program development, (3) the quality assessments of the program met all established criteria with median scores ranging from 4.00 to 5.00 and interquartile ranges from 0.00 to 1.00, and (4) feasibility and usefulness evaluations passed all established criteria with statistical significance at the .05 level. The findings support the potential implementation of the Physical Education and Sports program at the upper secondary level.

การวิจัยแบบผสมผสานนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและประเมินความต้องการจำเป็นของแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) สังเคราะห์แนวทางการพัฒนาแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3) สร้างและตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นของแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4) ประเมินความเป็นไปได้ของการพัฒนาแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เก็บข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง คือ ครูผู้รับผิดชอบหลักสูตรแผนการเรียนเทียบเคียงกับแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 4 โรงเรียนๆ ละ 3 คน รวม 12 คน นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4,5 และ 6 รวมทั้งสิ้น 24 คน ผู้ปกครองของนักเรียน จำนวน 24 คน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องระดับผู้บริหาร ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ศึกษานิเทศก์ รวม 6 คน ผู้บริหารระดับผู้อำนวยการโรงเรียนหรือรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ในโรงเรียนที่ไม่มีแผนการเรียนเทียบเคียง รวม 6 คน อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรระดับปริญญาตรี ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับพลศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย รวม 6 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านพลศึกษา รวม 5 คน โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ทั้งในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 และ เขต 2 ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินคุณภาพความถูกต้องและเหมาะสม รวม 17 คน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 184 คน เพื่อประเมินความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ ของแผนการเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและประเมินความต้องการจำเป็นพบว่าที่มาของปัญหาของแผนการเรียนเทียบเคียงในปัจจุบันด้านรายวิชาเพิ่มเติมมีรายวิชาที่แตกต่างกัน 2) จากการสังเคราะห์จากระยะที่ 1 ได้แนวทางในการสร้างและพัฒนาแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา 3)ผลการประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมของแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า โครงสร้างแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากประเด็นการประเมินด้าน 5 ด้าน โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่ 4.00 - 5.00 และค่าพิสัยระหว่างคลอไทล์อยู่ที่ 0.00 -1.00 ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกรายการ 4)ผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของแผนการเรียนพลศึกษาและกีฬาผ่านเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05